บทที่6
การออกแบบหน้าเว็บเพจ (Page Design)
หลักการออกแบบหน้าเว็บเพจ
สร้างลำดับชั้นควาสำเร็จขององค์ประกอบ
– ตำแน่งและลำดับขององค์ประกอบ
แสดงถึง ลำดับความสำคัญของข้อมูลที่ต้องการให้ผู้ใช้ได้รับ
แสดงถึง ลำดับความสำคัญของข้อมูลที่ต้องการให้ผู้ใช้ได้รับ
– สีและความแตกต่างของสี
แสดงถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ภายในหน้า
แสดงถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ภายในหน้า
– ภาพเคลื่อนไหว
เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจได้อย่างดี แต่จะต้องระวังเพราะการใช้ภาพเคลื่อนไหวมากเกินไปจะทำให้เกิดความสับสน
เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจได้อย่างดี แต่จะต้องระวังเพราะการใช้ภาพเคลื่อนไหวมากเกินไปจะทำให้เกิดความสับสน
– ตำแน่งและลำดับขององค์ประกอบ
แสดงถึง ลำดับความสำคัญของข้อมูลที่ต้องการให้ผู้ใช้ได้รับ
แสดงถึง ลำดับความสำคัญของข้อมูลที่ต้องการให้ผู้ใช้ได้รับ
– สีและความแตกต่างของสี
แสดงถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ภายในหน้า
แสดงถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ภายในหน้า
– ภาพเคลื่อนไหว
เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจได้อย่างดี แต่จะต้องระวังเพราะการใช้ภาพเคลื่อนไหวมากเกินไปจะทำให้เกิดความสับสน
ความสม่ำเสมอทั้งเว็บไซท์เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจได้อย่างดี แต่จะต้องระวังเพราะการใช้ภาพเคลื่อนไหวมากเกินไปจะทำให้เกิดความสับสน
หมายถึงการจัดการองค์ประกอบต่างๆ ให้มีลักษณะเดียวกันทั้งเว็บไซท์ เช่น
– โครงสร้างการวางตำแหน่งสิ่งๆ ภายในเว็บไซท์
– ลักษณะของรูปแบบของกราฟิก
– ลักษณะของตัวอักษรที่ใช้ภายในเว็บไซท์
– โทนสีที่ใช้ภายในเว็บไซท์
ความสม่ำเสมอทั้งเว็บไซท์การสร้างความสม่ำเสมอนั้นสามารถใช้เทคนิคของ Cascading ฤะสำ Sheet (CSS) ช่วยในการกำหนดสไตล์มาตราฐานให้กับองค์ประกอบต่างๆ โดยสามารถกำหนดรูปแบบเพียงครั้งเดียว แล้วสามารถนำไปใช้ได้ตลอดทั้งเว็บไซท์
จัดวางองค์ประกอบที่สำคัญไว้ส่วนบนของหน้าเสมอ
โดยปกติส่วนบนควรประกอบด้วย
– ชื่อของเว็บไซท์
– หัวเรื่องหรือชื่อแสดงหมวดหมู่ของเนื้อหา
– สิ่งสำคัญที่ต้องการโปรโมทบนเว็บไซท์
– ระบบโกลบอลเนวิเกชั่น
การออกแบบหน้าเว็บให้มีความยาวเหมาะสม
ออกแบบหน้าเว็บเพจขนาดสั้นสำหรับ
ออกแบบหน้าเว็บเพจขนาดสั้นสำหรับ
– หน้าเว็บเพจที่เป็นแหล่งรวมลิงค์จำนวนมาก
– หน้าเว็บเพจที่ความว่าจะถูกอ่านบนจอภาพ
– หน้าเว็บเพจที่กราฟิกขนาดใหญ่มาก
การออกแบบหน้าเว็บสำหรับการพิมพ์
มีวิธีการดังนี้
1. แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อยๆ ประมาณ 2-3 หน้า พร้อมสร้าง
Link เชื่อมโยงเว็บเพจทั้งหมด
2. สร้าง Link จากหน้าหลักไปยังเพจที่รวมเนื้อหาทั้งหมดไว้ในไฟล์ เดียว และใช้ความกว้างไม่เกินหน้ากระดาษ A4 หรือประมาณ 655 Pixel
มีวิธีการดังนี้
1. แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อยๆ ประมาณ 2-3 หน้า พร้อมสร้าง
Link เชื่อมโยงเว็บเพจทั้งหมด
2. สร้าง Link จากหน้าหลักไปยังเพจที่รวมเนื้อหาทั้งหมดไว้ในไฟล์ เดียว และใช้ความกว้างไม่เกินหน้ากระดาษ A4 หรือประมาณ 655 Pixel
บทที่7
การออกแบบเว็บไซต์ให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อม(Design for averiety of Web Environments)
ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการท่องเว็บไซต์เบราเซอร์ที่ใช้
ระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์
ความละเอียดของหน้าจอ
จำนวนสีที่จอผู้ใช้สามารถแสดงได้
ชนิดของตัวอักษรที่มีอยู่ในเครื่องของผู้ใช้
ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
ขนาดหน้าต่างเบราเซอร์
ความสว่างและค่าความต่างของโทนสี
บราเซอร์ที่ใช้
เบราเซอร์คือโปรแกรมที่ใช้เรียกดูเว็บเพจโดยสามารถแสดงผลได้ทั้งรูปแบบตัวอักษร,รูปภาพและภาพเคลื่อนไหวมีเบราเซอร์หลายชนิดที่ได้รับความนิยมเช่น
=> Internet Explorer
=> Netscape Navigator
=> The World
=> Opera
=> Mozilla
=> Firefox
การออกแบบเว็บไซต์ตามคุณสมบัติของเบราเซอร์
=> เว็บไซต์สำหรับเบราเซอร์ทุกชนิด
=> เว็บไซต์สำหรับเบราเซอร์รุ่นล่าสุด
=> เว็บไซต์ตามความสามรถของเบราเซอร์
=> เว็บไซต์ที่มีหลายรูปแบบ
ระบบปฏิบัติการ(Opreating System)
ระบบปฏิบัติการเป็นปัจจัยที่มีผลการทำงานต่อเบราเซอร์มากโดยแต่ระบบปฏิบัติการจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของชนิดและรุ่นของเบราเซอร์ที่ใช้ได้,ระดับความละเอียดของหน้าจอ, ชุดสีของระบบและชนิดของตัวอักษรที่มาพร้อมกับระบบ เป็นต้น
=> การแสดงผลของ Windows จะมีขนาดใหญ่กว่า Mac เล็กน้อย
=> ความสว่างของหน้าจอบน Mac จะมากกว่า Windows และ Linux
ความละเอียดของหน้าจอ
กรณีที่ 1 ผู้ใช้สว่นใหญ่จะได้เห็นหน้าเว็บที่สมบูรณ์
กรณีที่ 2 ผู้ใช้ทุกคนจะได้เห็นเนื้อหาทั้งหมดในหน้าจอ
กรณีที่ 3 ผู้ใช้จำนวนน้อยที่สามารถดูเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม
การออกแบบควรใช้ความละเอียด800 x 600
ชนิดของตัวอักษรที่มีอยู่ในเครื่องของผู้ใช้
Ms Sans Serif VS Microsoft Sans Serif
Ms Sans Serif เป็นพ้อนต์ที่บิตแมท ที่ออกแบบจากจุดพิกเซล โดยมีการออกแบบขนาดที่แน่นอน
MicrosoftSans Serifเป็นพ้อนต์ที่มีโครงสร้างของอักขระเป็นแบบเวคเตอร์หรือลายเส้นโดยมีการออกแบบเอ้าไลน์ไว้แบบเดียวแต่ปรับขนาดได้ไม่จำกัด
ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
ผู้ออกแบบเว็บไซต์ต้องออกแบบให้เว็บมีความสวยงาม น่าสนใจ และดาวน์โหลดได้เร็ว โดยทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กที่สุด
การออกแบบให้เว็บเพจมีขนาดคงที่ (Fixed Design)
รูปแบบนี้เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการควบคุมโครงสร้างของหน้าเว็บไซต์ให้คงที่เสมอ
ข้อดี
เว็บเพจจะประกฎต่อสายตาผู้ใช้เป็นรูปแบบเดียวกันเสมอสามารถดูความยาวของตัวอักษรในบรรทัดได้ดี ตัวอักษรไม่ยาวเกินไป
ข้อเสีย
ต้องอาศัย Scroll Bar ในการเลื่อนดูข้อมูล
บทที่ 8
เลือกใช้สีสำหรับเว็บไซต์ ( Designing Web Colors)
สีสันในหน้าเว็บเพจ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ เนื่องจากสิ่งแรกที่พวกเขามองเห็นจากเว็บเพจก็คือ สี ซึ่งเป็นสิ่งกำหนดบรรยากาศและความรู้สึกโดยรวมของเว็บไซต์ เราสามารถใช้สีได้กับทุกองค์ประกอบของเว็บเพจ ตั้งแต่ตัวอักษร,รูปภาพ,ลิงค์,สีพื้นหลัง และรูปภาพพื้นหลัง การเลือกใช้สีอย่างเหมาะสมจะช่วยในการสื่อความหมายของเนื้อหา และเพิ่มความสวยงามให้กับหน้าเว็บนั้น แต่ในทางกลับกัน สีที่ไม่เหมาะสมอาจสร้างความยากลำบากในการอ่านหรือรบกวนสายตาผู้ใช้ รวมทั้งอาจทำให้การสื่อสารความหมายไม่ถูกต้องได้
ประโยชน์ของสีในเว็บไซต์
สีเป็นเครื่องมืออเนกประสงค์อย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมากในการออกแบบเว็บไซต์ เนื่องจากสีสามารถสื่อถึงความรู้สึกและอารมณ์ และยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานที่กับเวลาอีกด้วย ดังนั้นสีจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความหมายขององค์ประกอบให้กับเว็บเพจได้ อย่างดี
ประโยชน์ของสีในรูปแบบต่างๆ มีดังนี้
- สีสามารถชักนำสายตาผู้อ่านให้ไปยังทุกบริเวณในหน้าเว็บเพจ ผู้อ่านจะมีการเชื่อมโยงความรู้สึกกับบริเวณของสีในรูปแบบที่คาดหวังได้ การเลือกเฉดสีและตำแหน่งของสีอย่างรอบคอบในหน้าเว็บ สามารถนำทางให้ผู้อ่านติดตามเนื้อหาในบริเวณต่างๆ ตามที่เรากำหนดได้ วิธีนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อคุณต้องการให้ผู้อ่านให้ความสนใจกับส่วนใดส่วนหนึ่งในเว็บไซต์เป็นพิเศษ เช่น ข้อมูลใหม่ โปรโมชั่นพิเศษ หรือบริเวณที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจมาก่อน
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสี
ทุกคนคงได้รู้จักแม่สีหรือสีขั้นต้น ( primary color ) ทั้งสามซึ่งประกอบด้วย สีแดง,เหลือง และน้ำเงิน มาก่อนจากการศึกษาในอดีต เหตุที่สีทั้งสามนี้ถือว่าเป็นแม่สีหลัก ก็เพราะว่าสีทั้งสามเป็นสีที่ไม่สามารถเกิดขึ้นจากการผสมของสีอื่นๆ และยังเป็นต้นกำเนิดของสีอื่นๆที่เหลือทั้งหมด ต่อไปก็เป็นสีขั้นที่ 2 ที่เกิดจากการผสมของสีขั้นต้นเข้าด้วยกัน โดยที่ สีแดงกับสีเหลืองได้เป็นสีส้ม,สีเหลืองกับน้ำเงินได้เป็นเขียว และสีน้ำเงินกับแดงได้เป็นม่วง ต่อจากนั้นก็เป็นสีขั้นที่ 3 ซึ่งเกิดจากการผสมของสีขั้นต้นกับสีขั้นที่ 2 ที่อยู่ติดกันทั้งสองด้าน ในที่สุดเราก็จะได้สีขั้นที่ 3 ทั้งหมด 6 สี โดยสีขั้นต้น 1 สี ทำให้เกิดสีขั้นที่สาม 2 สี ดังนี้ : เหลือง-ส้ม , แดง-ส้ม , แดง-ม่วง , น้ำเงิน-ม่วง ,น้ำเงิน-เขียว และเหลือง-เขียว เมื่อเรารู้ที่มาของสีต่างๆดีแล้ว ในขั้นต่อไปจะเป็นเรื่องของพื้นฐานการผสมสี การจัดระบบสี และรูปแบบของชุดสีพื้นฐาน
การผสมสี ( Color Mixing)
รูปแบบการผสมสีเพื่อให้เกิดเป็นสีต่างๆ สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือการผสมของแสงหรือการผสมแบบบวก ( additive mixing ) และการผสมของรงควัตถุ (pigment) หรือการผสมแบบลบ (subtractive mixing) ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
การผสมสีแบบบวก (Additive Mixing)
การผสมสีแบบบวกนี้ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากในการทำความเข้าใจ เพราะมีหลักการที่ลบล้างสิ่งที่คุณถูกสอนมาในสมัยก่อน เรากำลังจะพูดถึงรูปแบบการผสมของแสง ไม่ใช่การผสมของวัตถุมีสีบนกระดาษ เนื่องจากแสงสีขาวประกอบด้วยลำแสงที่มีสีต่างๆตามความยาวคลื่นแสง ความยาวคลื่นแสงพื้นฐานได้แก่สีแดง เขียว และน้ำเงิน ไม่ใช่สีแดง เหลืองและน้ำเงินอย่างที่เราเข้าใจมาก่อน เมื่อคลื่นแสงเหล่านี้มีการซ้อนทับกันก็จะก่อให้เกิดการบวกและรวมตัวกันของความยาวคลื่นแสง จึงเป็นที่มาของชื่อ “สีแบบบวก” เมื่อแสงทั้งสามสีมีการผสมกันเป็นคู่ ก็จะเกิดเป็นสีน้ำเงินแกมเขียวหรือ cyan (เกิดจากสีน้ำเงินบวกกับเขียว) สีแดงแกมม่วงหรือ magenta (เกิดจากสีแดงบวกกับน้ำเงิน) และสีเหลือง (เกิดจากสีแดงบวกกับเขียว) และในที่สุดเมื่อผสมสีทั้งสามเข้าด้วยกัน ก็จะได้ผลลัพธ์เป็นแสงสีขาวอีกครั้ง
สื่อใด ๆ ก็ตามที่มีการใช้แสงส่องออกมา อย่างเช่น จอโปรเจคเตอร์ (movie projector) ทีวี หรือจอมอนิเตอร์สำหรับคอมพิวเตอร์ ต่างก็เป็นไปตามกฎของการผสมสีแบบบวกนี้ เพราะเหตุนี้ การออกแบบสีสำหรับเว็บไซต์ จึงต้องอาศัยหลักการผสมสีแบบบวกนี้เช่นกัน
การผสมสีแบบลบ (Subtractive Color Mixing)
การผสมสีแบบลบไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของลำแสงแต่อย่างใด ๆ แต่เกี่ยวเนื่องกับการดูดกลืนและสะท้อนแสงของวัตถุต่างๆ เมื่อแสงสีขาวส่องมายังวัตถุหนึ่งๆวัตถุนั้น จะดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่นบางระดับไว้และสะท้อนแสงที่เหลือออกมาให้เราเห็น สีขั้นต้นในรูปแบบนี้ประกอบด้วย สีแดงแกมม่วง (magenta) สีน้ำเงินแกมเขียว (cyan) และสีเหลือง ซึ่งไม่ใช่สีแดง เหลือง และน้ำเงินอย่างธรรมดาอย่างที่หลายๆคนเข้าใจ เมื่อมีการผสมของรงควัตถุหรือวัตถุมีสี จะเกิดการรวมกันของสีที่จะถูกดูดกลืนไว้ ทำให้ปริมาณแสงที่จะสะท้อนออกมาลดลง จึงเป็นที่มาของชื่อ “ สีแบบลบ ” เมื่อสีทั้งสามมีการผสมกันเป็นคู่ๆ ก็จะเกิดผลเป็นสีต่างๆ ได้แก่สีแดง (เกิดจากสีแดงแกมม่วงบวกกับเหลือง) สีเขียว (เกิดจากสีเหลืองบวกกับน้ำเงินแกมเขียว) และสีน้ำเงิน (เกิดจากสีน้ำเงินแกมเขียวบวกกับแดงแกมม่วง) ในขั้นสุดท้าย เมื่อรวมสีทั้งสามเข้าด้วยกันก็จะเห็นเป็นสีดำ เพราะมีการดูดกลืนแสงทุกสีไว้ทั้งหมด ทำให้ไม่มีแสงสีใดสามารถสะท้อนออกมาได้
สื่อต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัตถุมีสี อย่างเช่น สีที่ใช้ในการวาดรูปของศิลปิน , ดินสอสี , สีเทียน รวมถึงระบบการพิมพ์แบบ 4 สี ในสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ (โดยมีหมึกสีดำเพิ่มมาอีกสีหนึ่ง) ล้วนอาศัยการผสมสีแบบลบนี้ทั้งสิ้น
วงล้อสี (Color Wheel)
เพื่อความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของสีที่ดีขึ้นเราความทำความรู้จักกับระบบสีที่เข้าใจง่าย และมีประโยชน์มากที่สุดที่เรียกกันว่า วงล้อสี ( color wheel ) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งที่มีระบบการจัดเรียงสีทั้งหมดไว้ในวงกลม วงล้อสีถูกพัฒนาขึ้นจากความต้องการกฎระเบียบที่ชัดเจนของลำดับและความกลมกลืนของสี แม้ในอดีตจะมีการพัฒนาและออกแบบระบบสีในรูปแบบต่างๆมากมาย แต่ส่วนใหญ่มักจะมีความซับซ้อนเกินกว่าที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการออกแบบจริง ในที่สุดเราจะใช้วงล้อสีแบบ 12 ขั้น ซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นโดย Sir Isaac Newton ในปี 1666 ที่ได้แสดงถึงการจัดลำดับเฉดสีอย่างมีเหตุผลและง่ายต่อการนำไปใช้ จึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อศิลปินในการศึกษาและออกแบบศิลปะต่างๆ รวมทั้งการเลือกใช้สีในกระบวนการออกแบบเว็บไซต์ที่เรากำลังสนใจอยู่
บทที่ 9
การออกแบบกราฟิกสำหรับเว็บไซต์
ระบบการวัดชนาดของรูปภาพ
เมื่อจอมอนิเตอร์ทำการแสดงผลรูปภาพในเว็บเพจ พิกเซลในรูปภาพจะจับคู่กันแบบหนึ่งต่อหนึ่งกับพิกเซลตามความละเอียดของหน้าจอ ทำให้หน่วยการวัดรูปภาพในเว็บจึงเป็นพิกเซล ไม่ใช่นิ้วหรือเซ็นติเมตรแต่อย่างใด ดังนั้นในกระบวนการ ออกแบบกราฟิกและรูปภาพต่างๆ คุณจึงความลดขนาดเป็นพิกเซลไว้เสมอ ซึ่งจะมีประโยชน์ในการเปรียบเทียบขนาดกราฟิกกับองค์ประกอบอื่นๆ ในหน้าเว็บ รวามถึงขนาดวินโดว์ของบราวเซอร์อีกด้วย
ระบบการวัดความละเอียดของรูปภาพ
เนื่องจากรูปภาพในเว็บโดยส่วนใหญ่จะถูกสแดงผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ ในทางเทคนิคที่ถูกต้องแล้ว ระบบการวัดความละเอียดของรูปภาพจึงต้องเป็น “Pixels per inch” (ppi) แต่ก็มีระบบการวัดอีกแบบหนึ่งคือ “Dot per inch (dpi) ที่ใช้ความละเอียดของรูปถาพที่พิมพ์ออกมา ซึ่งความละเอียดที่ได้จะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องพิมพ์แต่ละเครื่องในทางปฏิบัติ หน่วย ppi กับ dpi อาจใช้แทนกันได้ ทำให้เป็นที่ยอมรับว่าความละเอียดของรูปภาพในหน้าจอมีหน่วยเป็น dpi แทนท่จะเป็น ppi ที่ถูกต้อง
ความละเอียดของรูปภาพ
โดยปรกติแล้ว รูปภาพทุกรูปในเว็บไซท์ควรจะมีความละเอียดแค่ 72 ppi ก็ เพียงพอแล้ว เรื่องจากจอมอนิเตอร์องผู้ใช้ส่วนใหญ่มีความละเอียดต่ำ (72 ppi) ดังนั้นแม้ว่ารูปภาพจะมีความละเอียดสูงกว่านี้เราก็ไม่อาจมองเห็นความแตกต่างได้
เมื่อเปรียบเทียบความละเอียดของรูปภาพในเว็บกับในสิ่งพิมพ์ คุณจะเห็นความแตกต่างกันว่ารูปภาพในเว็บมีคุณภาพที่ต่ำกว่า เนื่องจากมีข้อมูลและรายละเอียดของรูปภาพที่น้อยกว่าทำให้รูปที่ได้มองดูมีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ ซึ่งถือเป็นธรรมชาติของรูปภาพในเว็บ
ปัญหาเกี่ยวกับขนาดไฟล์ของกราฟิก
แม้ว่ากราฟิกและรูปภาพต่างๆ จะช่วยสึความหมายและสร่างประโยชน์อีกหลายอย่าง เราควรรู้ถึงข้อเสียของกราฟิกเหล่านี้ไว้บ้าง โดยปรกติ แล้วข้อมูลในเว็บไซท์ประกอบด้วยไฟล์ HTML ที่เป็นตัวอักษร และกราฟิกหรือรูปภาพเป็นสิ่งสำคัญ กราฟิกใช้เวลาในการดาวน์โหลดมาก กว่าตัวอักษรหลายเท่า ดังนั้นกราฟิกขนาดใหญ่อาจใช้เวลาในการสแดงผลนานมาก เมื่อผู้ใช้ระบบการเชื่อต่อกับอินเตอร์เน็ทที่ค่อนข้างช้า
แม้ว่ากราฟิกของคุณจะออกแบบมาอย่างดีเพียงใด ถ้าต้องใช้เวลาในการโหลดนาน จรทำให้ผู้ใช้รู้สึกหงุดหงิด และเปลี่ยนใจไม่รอดูรูปเหล่านั้นสิ่งที่คุณทุ่มเทออกไปไว้ก็จะมีมีความหมาย เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้านี้เราจึงต้องทำการลดขนาดไฟล์กราฟิกลงให้เล็กเข้าไว้ก่อน
ลดขนาดไฟล์กราฟิกสำหรับเว็บ (Optimizing Web Graphic)
ปัญหาความเชื่องช้าของอินเตอร์เน็ททำให้ผู้ออกแบบเว็บไซท์ต้องระมัดระวังในเรื่องของเวลาที่ใช้ในการดาวน์โหลดเป็นอย่างมาก แนวทางง่ายๆ สำหรับผู้มีหน้าที่ออกแบบกราฟิกำหรับเว็บก็คือพยายามทำให้กราฟิกมีขนาดเล็กมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทั้งนี้ผู้ออกแบบต้องรู้จักที่จะสร้างความสมดุลระหว่างความสวยงามกับความเร็วในการแสดงผลเรื่องจากการสร้างเว็บโดยไม่มีรูปภาพกราฟิกใดๆ เลยย่อมไม่น่าสนใจ เพราะกราฟิกมีบทบาทสำคัญในการแนะนำ และสร้างความบันเทิงต่อผู้ชม ดังนนั้นแนวทางที่ดีที่สุดคือการสร้างเว็บที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้กราฟิกที่แสดงผลได้อย่างรวดเร็ว
การ Optimize กราฟิกจะช่วยลดขนาดไฟล์ให้เล็กลงได้ทำให้แสดงผลได้เร็วขึ้น และทำให้การปราฏของสีอย่างถูกต้องในหน้าจอของผู้ใช้